Wednesday

ผมพบแล้ว !!


“ วันไหนไม่ได้กินเหล้าดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องผิดปกติ”

จ.ส.ต.อัฏฐวัฒน์ สายไทย (ตุ๋ย) อายุ 47 ปี อาชีพรับราชการทหาร
ปฏิบัติงานใน โรงพยาบาลทหารในตำแหน่งเจ้าหน้าที่เภสัชกรรม
ชีวิตในวัยเด็กผมไม่ค่อยได้อยู่กับ ครอบครัวมากนัก ผมต้องจากบ้านไปอาศัยวัดอยู่
เพื่อเรียนหนังสือในเมืองสุรินทร์ตั้งแต่อายุ 8 ปี ความผูกพันในครอบครัวจึงไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก
จนถึงพ.ศ. 2516 เรียนจบชั้นมศ.3 แล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อ
ผมหนีออกจากบ้านไปโดยไม่ได้บอกให้ใครรู้เลยเป็นเวลาหลายปี
มาทราบภายหลังว่าทางบ้านได้ทำบุญหา เพราะคิดว่าผมคงตายไปแล้ว


ในระหว่างที่ออกจากบ้านไปนั้น ผมได้ไปทำงานหลายแห่ง
และที่สุดท้ายก่อนจะ เป็นทหารได้ทำงานในอู่ซ่อมรถที่
จังหวัดขอนแก่นเป็นเวลา 5 ปี ที่นี่เอง ผมเริ่มกินเหล้า เสพยาม้า เที่ยวผู้หญิง
แต่ที่รู้สึก ภูมิใจในตัวเองมาก คือ การกินเหล้า
เพราะมีหลายคนชมว่ากินเหล้าเก่ง กินแล้วสนุกสนาน เป็นที่ชอบใจเพื่อนๆ
และผู้ที่ร่วมวงเป็น อย่างมาก พอถึงปี 2523 อายุครบเกณฑ์ทหาร
ผมได้สมัคร เข้าเป็นทหารกองประจำการ เมื่อเป็นทหารแล้ว
ผมก็ยิ่งเป็นที่รักและชอบใจของเพื่อนๆ
รวมถึง ผู้บังคับบัญชาที่สามารถกินเหล้าได้เก่ง และสนุกสนาน
ยิ่งทำ ให้ผมมีความภูมิใจมากยิ่งขึ้น และต่อมาได้สอบ เข้าเรียนต่อ
เป็นนักเรียน นายสิบเหล่าแพทย์ เมื่อเรียนจบในปี 2526
ได้รับการบรรจุเข้ารับ ราชการที่โรงพยาบาลจังหวัดทหารบกสุรินทร์
ในช่วง 5 ปีแรก ที่รับราชการ ผม ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปในการเที่ยวเตร่ กินเหล้า
ไม่เคยคิดจะเก็บเงินเพื่อจะสร้างฐานะให้ตัวเองเลย เงินที่หามาได้
จะใช้ในการเที่ยวเตร่ กินเหล้าเมายาทั้งหมด วันไหนที่ไม่ได้กินเหล้า
ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นประเพณีปฏิบัติประจำในกลุ่มของเรา


ขณะนั้นจนกระทั่งปลายปี 2539 ผมได้รู้จัก กับผู้หญิงคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นคริสเตียนผ่านทาง เพื่อน ด้วยความที่ผมเคยอยู่วัดมานาน
เรามักจะถกเถียงกันเรื่องศาสนาเสมอ ผมถามเธอว่าทำไมต้องเป็นคริสเตียน
แต่เธอไม่ตอบกลับชวน และท้าทายผมให้ไปหาคำตอบเอาเอง

ในความรู้สึกของผม ตอนนั้น คิดว่าโบสถ์คริสต์ คงจะอึมครึมน่ากลัว
คงจะมีฝรั่งหรือคน ต่างชาติมากมาย เป็น สถานที่ที่ไม่น่าไว้วางใจ
เป็นความรู้สึกที่คิดเอา เองทั้งนั้น เพราะไม่เคยไป ไม่เคยเห็น
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้มีโอกาสไปโบสถ์ กับเธอ
ผมไม่ต้องการจะได้รับคำตอบอะไร เพียงแต่อยากจะไปจับผิดเขา
เพราะในใจรู้สึกต่อต้าน ที่คนไทยไปเป็นคริสเตียน
แต่บรรยากาศในโบสถ์ไม่ได้เป็นเหมือน อย่างที่ผมคิดเลย
เพราะว่าเป็นคนไทยเกือบทั้งหมด ยกเว้น ฝรั่ง 2 คน ซึ่งพูดไทยได้อย่างชัดเจนอีก
มีคนออกมาต้อนรับยกมือไหว้ เชิญเข้า ไปนั่งในห้องประชุม
และหลายคนเข้ามาสวัสดี ทักทาย ด้วยท่าทีที่ถ่อม สุภาพ
ทั้งๆ ที่วันนั้นผม ยังมีอาการเมา และมีกลิ่นเหล้าติดไปด้วย
ยังได้ รับเกียรติจากพี่น้องที่นั่นโดยที่ไม่มีใครแสดงความรังเกียจแต่อย่างใดเลย
เป็นความ รู้สึกอบอุ่น และประทับใจอย่างมาก ที่ไม่เคยได้รับจากที่อื่นมาก่อน
เห็นบรรยากาศแห่งความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ทำให้ความคิดที่จะมาจับผิดนั้นหมดไป

“ไม่อายเขาหรือ ที่ลูกไปเชื่อพระเยซู ขณะที่พ่อเป็นเจ้าอาวาสวัด”
พ่อก็ตอบว่า “ไม่เห็นจะต้องอายอะไร เพราะเขาเชื่อพระเยซูแล้ว
เขาเลิกกินเหล้า เขาไม่ได้ทำชั่วอะไร ชีวิตก็ดีขึ้น พ่อยินดีด้วย!! ”


หลังจากนั้น ผมได้มีโอกาสศึกษาเรื่องราวของพระเยซู
และพบความจริงว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด
สามารถ ช่วยผมและทุกคนที่เชื่อ ให้รอดพ้นจากบาปได้
พระองค์ประทานสันติสุขให้ กับผู้ที่เชื่อและวางใจ ในพระองค์ทุกคน
ผมได้ตัดสินใจรับเชื่อในองค์พระเยซูเมื่อเดือนเมษายน ปี 2531 และเลิกดื่มเหล้า
เลิกประพฤติไม่ดีที่กล่าว มาแล้วทั้งหมด
เพราะเกิดความรู้สึก เกลียด ขยะแขยง ไม่อยากจะทำอีกเลย
ผมไปบอกกับเพื่อนๆ พ่อแม่และญาติพี่น้อง
เรื่องนี้แต่ได้รับการปฏิเสธจากเพื่อนหลายคน
แต่พ่อไม่ได้ว่าอะไร มีบางคนต่อว่า บางคน บอกว่าจะไม่คบกับผมอีก
แต่ผมบอกกับเพื่อนว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องเลิกคบกัน
เพราะผมไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ทำชั่วเพื่อนน่าจะยินดีด้วย
ที่เพื่อนคนนี้เลิกเหล้าและสิ่งที่ไม่ดี ต่างๆ ได้
ในเวลานั้น พ่อของผมเป็นเจ้าอาวาส วัดอยู่ มีญาติโยมหลายคนถามพ่อว่า
“ไม่อาย เขาหรือที่ลูกไปเชื่อพระเยซูขณะที่พ่อเป็นเจ้า อาวาสวัด”
พ่อก็ตอบว่า ไม่เห็นจะต้องอายอะไร เพราะเขาเชื่อพระเยซูแล้ว
เขาเลิกกินเหล้า เขาไม่ได้ทำชั่วอะไร ชีวิตก็ดีขึ้น พ่อยินดีด้วย !!

พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจจริง พระองค์เป็น ทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต
เมื่อมีปัญหา ในชีวิตหรือการงาน ผมอธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระองค์ได้
การเชื่อพระเยซูนั้น ท่าน จะต้องเชื่อประสบพบด้วยตัวเอง
ไม่สามารถ เชื่อแทนกันได้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคล และผมได้พบแล้ว!

แหล่งที่มา เสียงนักธุรกิจชายนานาชาติ

Labels: , , , , , ,


Tuesday

เพื่อนที่รักของข้าพเจ้า



  • เราเคยร่วมสุขทุกข์กัน ในวันหนึ่ง คือวันซึ่งฟ้าคล้ำ ดำสลัว
    ที่บางคราวราวพายุ ดุน่ากลัว แต่เป็นชั่วคืนหนึ่ง ซึ่งผ่านไป
    ข้าฯไม่เคยลืมเวลานั้น จนวันนี้ เรามารวมน้องพี่ เหล่าสหาย
    แบ่งชีวิตให้กัน ก่อนจากไกล ไปหนใดอีกไม่รู้ ดูมืดมน

    แต่วันนี้มีสิ่งหนึ่ง ซึ่งอยากบอก ไม่ลวงหลอกนะเพื่อนจ๋า อย่าฉงน
    ขอให้เพื่อนโปรดได้ฟัง อย่างอดทน เพราะเพื่อนคนคนนี้ ไม่มีลวง
    รักสัจจะความจริง ยิ่งชีวิต จะพูดผิดได้อย่างไร เรื่องใหญ่หลวง
    เป็นความจริงจากหัวใจ ลึกในทรวง คือสัจจะโชติช่วง กลางดวงใจ


    หลายปีก่อนตอนที่ข้าฯอยู่ทางเหนือ มีสิ่งหนึ่งที่คลุมเครือ และสงสัย
    ชีวิตเรา มันเกิดขึ้น ได้อย่างไร ก็แล้วใครสร้างโลกนี้ ให้มีมา
    เมื่อผิดพลาดไปมากมาย ในชีวิต ความล้มเหลวธุรกิจ ก็ถามหา
    ทางจิตใจก็ร้าวรอน อ่อนระอา ถึงเวลาที่อ่อนแรง สิ้นกำลัง
    จึงถามว่า “พระเจ้า ไหน” ใครรู้บ้าง ความสว่างอยู่หนไหน ใจยังหวัง
    แล้วคำตอบก็แจ้งใจ เคยได้ฟัง คือพระเจ้าแต่เมื่อครั้ง ข้าฯยังเยาว์
    ทรงเป็นผู้อุทิศตน เพื่อคนทั้งโลก ยอมทนโศกรับทุกข์ อย่างแสนเศร้า
    พระเยซู คริสต์เจ้า ตายแทนเรา แบกรับเอาบาปไว้ บนพระกาย
    ทรงถูกตรึงสิ้นพระชนม์ บนกางเขน แล้วทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ไม่สูญหาย
    ทรงพิชิตความบาป และความตาย เสด็จขึ้นเป็นใหญ่ ในจักรวาล
    ‎ ‎
    เมื่อยามเด็กข้าฯเคยฟัง เรื่องพระเจ้า ที่คุณครูเคยเล่า เป็นข่าวสาร
    เคยคิดเอาว่าเป็น เพียงนิทาน ที่เขาเล่ากล่าวขาน แค่ผ่านไป
    แต่เมื่อฟัง เริ่มได้คิด ชีวิตนี้ พระเยซูช่างแสนดี กว่าไหนๆ
    เมื่อพระเจ้าเริ่มเข้า มา ในใจ ก็รับไว้ในชีวิต จิตร้อนรน
    ตัวข้าฯในวัยเด็ก เป็นคนซื่อ อยากยึดถือพระเยซู ดูสักหน
    จึงปรึกษากับใครๆอีกหลายคน ด้วยกังวลว่าคนอื่น ไม่ชื่นชม
    ผลสรุปออกมา ถูกด่ายับ ตัวข้าฯเลยหันกลับ อย่างขื่นขม
    เพราะที่จริงพระเยซู น่าชื่นชม เป็นพระเจ้าของผม อย่างจริงจัง
    ก็เก็บซ่อนพระองค์ไว้ ในใจลึก มิได้นึกเมื่อย้อนไป ในความหลัง
    เมื่อผ่านวัยหยาบกระด้าง ช่างน่าชัง ก็มานั่งทบทวน มองสวนทาง ‎


    ไม่เคยเห็น ก็เหมือนเห็น เช่นลมพัด ปรากฏชัด ในสรรพสิ่ง ที่ทรงสร้าง
    เป็นดังเงา ของสิ่งแท้ที่เลือนลาง เหมือนอยู่ห่าง สุดโลกหล้า ขอบฟ้าไกล
    แต่เมื่อเราเปิดหัวใจ เราให้กว้าง พระองค์ก็เยื้องย่าง เข้ามาใกล้
    เชิญพระเจ้าเข้ามา อยู่ในใจ พระองค์จะสถิตใน ดวงวิญญาณ

    ประสบการณ์ข้าฯได้รับนับแต่นั้น ดั่งของขวัญล้ำค่า มหาศาล
    สันติสุขเปี่ยมล้น เกินประมาณ จนชีวิตทุกด้านได้เปลี่ยนแปลง
    จากชีวิตในที่มืด สู่สว่าง จากหนทางอับจน สู่แจ่มแจ้ง
    จากท้อแท้สิ้นหวัง สู่แข็งแรง จากเหมือนถูกสาปแช่ง สู่อวยพร


    กลับจากเหนือสู่ใต้ ในวันยาก แสนลำบากอีกครั้ง ยังเร่ร่อน
    เหมือนนกผินกลับจาก พเนจร แม้รังนอนก็ไม่รู้ อยู่ที่ใด
    พระองค์นำข้าๆไป ในความทุกข์ แต่กลับสุขสดชื่น ขึ้นมาใหม่
    ครอบครัวเรามีความหวัง กว่าครั้งใด เมื่อหัวใจเปี่ยมท้น ล้นพระคุณ
    บ้านของเราหลังใหม่ มิใช่นี้ มิใช่ที่เสื่อมโทรมหรือสาบสูญ
    ขอเพียงแต่มีความเชื่อทวีคูณ จะสมบูรณ์ตลอดไปในนิรันดร์

    เพื่อนที่รักของข้าฯ อย่าสงสัย พระองค์มอบชีวิตใหม่ ให้แก่ท่าน
    เมื่อท่านเปิดดวงใจ โดยเร็วพลัน และวันนั้นจะรู้จัก อย่างจริงใจ
    มีพระเจ้า มีโลกนี้ มีมนุษย์ เราทุกคนล้วนเป็นบุตรที่ หลงหาย
    พระบิดาไม่อยากให้ ใครต้องตาย หรือสุดท้ายต้องอยู่ใน ประลัยกัลป์

  • หากวันนี้แต่ละคน ค้นพบว่า พระเจ้า ทรงมีเมตตา ต้องกลับหัน‎
    มาคืนดีกับพระเจ้า โดยเร็วพลัน จะเป็นวันชีวิตใหม่ ให้เพื่อนเรา
    ชุมชนใหม่ ในโลกนี้มีอยู่มาก ไม่ลำบาก เพราะรักกันฉันเธอเขา
    ให้อภัยต่อพี่น้อง ผองเพื่อนเรา เป็นสังคมที่บรรเทาความอับจน
    จะเดินต่อด้วยกันไป ในพระเจ้า เพราะพระองค์นำเรา ในทุกหน
    มีสัจจะอยู่ใน ใจทุกคน แสนสุขล้นในวันนี้ หากมีเธอ.‎



    ชีวิต ณ นิรันดร.



  • ชีวิตที่แบกภาระหนักได้รับสันติสุข




    ชีวิตที่แบกภาระหนักได้รับสันติสุข




    เมืองเล็กๆที่ฉันอยู่กับครอบครัว
    เป็นช่วงเวลาที่ฉันมีความสับสนและหวาดวิตก
    รวมทั้งความรู้สึกสิ้นหวังที่โถมทับเข้ามา
    การย้ายร้านของเราเป็นเรื่องที่
    ดูเหมือน อนาคตไม่แน่นอน
    หลังจากนี้ไปชีวิตจะเป็นอย่างไร
    ลูก5ขวบจะเข้าเรียนที่ไหน
    ร้านอาหารของเราจะขายดีเหมือนอย่างเดิมไหม
    เขาจะเก็บภาษีสักแค่ไหนและ...
    สังคมเวลานี้ก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน
    เรามองดูไปรอบๆตัวเรา
    จะหาเพื่อนดีๆสักคนก็ดูเหมือนยากเย็นเหลือเกิน
    เปิดร้านมาไม่กี่วัน ช่างเงียบเหงา
    รายได้ลดจากเดิมทันที 5 เท่า
    แถมวันๆพวกเรี่ยไรก็มากันไม่เว้นแต่ละวัน
    ฉันเลยคิดอ่าน หาซื้อรูปพระเยซู ที่ตลาด
    มาติดเอาไว้บนผนังร้านดูเด่นสง่า
    ใครเดินเข้ามา ก็เห็นทันที
    ได้ผล พวกเรี่ยไรแค่เห็นภาพ ก็ไม่ถามอะไรแล้ว
    สามีฉันเลยโวย ว่า ” คุณไม่ได้เชื่อพระเยซูจริง
    เอามาติดทำไม รูปนี้ แค่เอามากันพวกเรี่ยไรเหรอ
    ผมต้องหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้”
    จริงๆเวลานี้พระเยซู เข้ามานั่งในใจฉันเรียบร้อยแล้ว
    ส่วนสามี ยัง งมหาอยู่ ฉันก็เลยชวนให้เขาเรียน
    พระคัมภีร์ทางไปรษณีย์ ด้วยกัน
    แค่เรียนนั้นก็ยังไม่เป็นที่พอใจ เขาเข้าไปหาอ่าน
    ในห้องสมุดแทบทุกวัน
    เอาหนังสือศาสนามาอ่านไม่รู้จักกี่เล่ม
    มาวันหนึ่ง อ่านพระธรรมยอห์น
    เสร็จแล้วก็ ร้องไห้lสารภาพบาป
    ต้อนรับพระเยซูคริสต์
    ไม่ช้าชีวิตเขาก็ถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
    จากคนใจดำกลายเป็นคนใจดี
    จากคนพูดหยาบกลายเป็นคนพูดเพราะ
    เลิกโกหก อะไรที่ไม่ดีเลิกหมด
    หันมาขยันงานกว่าเดิม เลิกอ่านหนังสือโป๊
    หันมาอ่านพระคัมภีร์ และเรื่องราวพระเจ้า
    กลายเป็นคนน่ารักกว่าแต่ก่อนมากมาย
    ที่เคยตีลูกแรงๆก็กลับมา รักและสอนลูกดีดี
    ครอบครัวเราจึงมีแต่ความสุขและอบอุ่นกว่าที่ผ่านมา
    ชีวิตเต็มไปด้วยความหวังและอนาคตอันสดใส

    จากความเกลียดเป็นความรัก




    พระเจ้าเกี่ยวข้องกับฉันอย่างไร ?

    โดย คุณอ้อย




    ขอเริ่มต้นตอนยังเรียนอยู่ ป.ว.ช. มีรุ่นพี่นับถือศาสนาคริสต์แล้วเขาชวนไปโบสถ์ และตัวเองเป็นคนที่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาต่าง ๆ จึงได้ตามเขาไป โบสถ์ที่ไปจะเลยประตูน้ำไปอีกเลยไปทางมักกะสัน รู้สึกว่าทางโบสถ์จะเช่าโรงหนัง แต่คนก็เยอะมาก และมีหลายรอบ ทีแรกทีไปก็เฉย ๆ ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย พอจะกลับก็มีความรู้สึกกลัวเพราะว่าเลยเวลากลับบ้าน กลัวว่าแม่จะดุเพราะแม่ไม่ยอมให้ไปไหนง่าย ๆ แต่พี่และเพื่อนเขาอธิษฐานให้เพื่อไม่ให้แม่ดุและให้พระเจ้าคุ้มครอง ผลคือกลับบ้านช้ามากแต่แม่ไม่พูดหรือว่าอะไรเลยรุ่นพี่ก็พยายามจะให้เข้าโบสถ์ให้ได้แต่ก็ความกลัวต่าง ๆ นานา เพราะว่าตัวเองเรียนฟันดาบแล้วครูดาบจะให้ขึ้นครู(แต่หนสุดท้ายไม่ได้ขึ้นครู) เพื่อนรุ่นพี่เรียนจบก็ต่างคนต่างไปไม่ได้ติดต่อกันอีก ก็ลืม ๆ กันไป

    หลังจากนั้นแต่งงานแฟนเป็นคนแขกสิงคโปร์และเป็นคริสเตียน แม่เขาไม่ยอมให้ลูกชายเขาแต่งงานกับคนต่างชาติและต่างศาสนา เขามีลูกชาย 3 คน หญิง 1 คน ถึงขั้นที่บอกลูกชายว่า ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงไทยคนนี ้แม่จะฆ่าตัวตาย เราก็เลยแต่งงานกันที่กรุงเทพฯ (ตอนนั้นแฟนยังทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ) แฟนไม่บอกครอบครัวที่สิงคโปร์เลย มีแต่พี่ชายคนโตรู้เท่านั้น เราแต่งงานแบบศาสนาพุทธ เพราะดิฉันยังนับถือพุทธอยู่ แล้วแฟนไม่เคย เคี่ยวเข็ญให้นับถือคริสต์เลยเขาตามใจ จนลูกชายอายุได้ 9 เดือน แฟนกลับมาสิงคโปร์และได้บอกให้แม่และน้องรู้ว่า เขาแต่งงานและมีลูกชายได้ 9เดือนแล้ว แม่เขาโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนแฟนหมดสัญญาทำงานที่กรุงเทพฯ ต้องกลับสิงคโปร์ เราก็กลับมาพร้อมกัน ก่อนมาสิงคโปร์ แม่ดิฉันบอกว่าครอบครัวเราปู่ ย่า ตา ยาย นับถือพุทธมานานแล้ว และไม่ต้องการให้ดิฉันนับถือคริสต์ตามแฟน

    พอเรามาถึงสิงคโปร์ก็เริ่มมีคนมาเยี่ยม (มาดูตัวซะมากกว่า) สายตาพวกเขามองดูดิฉันแบบรังเกียจ มองหัวจรดเท้าแล้วแม่สามีจะคอยให้เพื่อนและอาจารย์ คอยพูดและชักชวนดิฉัน ให้นับถือคริสต์ แบบบังคับไปในตัว ทีแรกไม่นึกรังเกียจในคริสต์ ยังศรัทธาอีกต่างหาก แต่มาเจอแบบชวนแกมบังคับ ก็เลยเริ่มจะตีห่าง คือมองภาพพจน์ว่า คนนับถือคริสต์เขาเป็นแบบนี้กันเหรอ ชอบดูถูกคน แบ่งชนชั้น แต่น้อง ๆ ของแฟนและแฟนไม่เคยบังคับและไม่เคยเอ่ยถึง และจะต่อว่าแม่ตัวเองว่า เป็นคริสเตียนแบบไหนถึงต้องบังคับ คนอื่นให้นับถือ และแล้วความรังเกียจของแม่สามีก็เริ่มออกลาย เราเข้ากันไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ดิฉันทำทุกอย่างให้ อย่างที่ลูกสาวเขาไม่เคยทำให้ ประเคนอาหารให้ สารพัดอย่าง เขายังไปบอกเพื่อน ๆ เขาว่าดิฉันขี้เกียจ ตื่นสาย ไม่ทำความสะอาดบ้านไม่ทำกับข้าว คือไม่ทำอะไรเลย เอาแต่นอนและก็เลี้ยงลูก (ตอนนั้นดิฉันยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ต้องพึ่งดิกชั่นนารี (Dictionary) แรก ๆ ดิฉันยอม ยอมจนทนไม่ไหว เพราะดิฉันไม่เคยมีโอกาสทำให้พ่อและแม่ตัวเองเลย จนเพื่อนแม่สามีมาจับแขนและต่อว่าดิฉันให้เห็นใจคนแก่ ให้ทำงานบ้าน ดิฉันรู้สึกโกรธมาก จนบอกแฟนและน้องสาวเขาว่า เมื่อแม่เธอไปบอกว่าดิฉันไม่ทำอะไรเลย ดิฉันก็จะทำตามความต้องการ คือจะทำความฝันของแม่เธอให้เป็นความจริง ดิฉันจึงไม่ทำอะไรให้แม่สามีเลย แม้แต่ทำความสะอาดบ้าน จะทำเฉพาะห้องของตัวเอง กับข้าวก็ไม่ทำเผื่อ แล้วดิฉันก็ไม่พูดกับแม่สามีอีกเลย เพราะพูดกันทีไร หาเรื่องทะเลาะกันทุกที ดิฉันตัดสินใจไม่พูดดีกว่า จนแม่สามีมาขอโทษ ดิฉันก็ยกโทษให้ และเราก็เริ่มพูดกันอีก แต่แม่สามีก็เริ่มเหมือนเดิม หาความดิฉัน เป่าหูแฟนดิฉัน จะให้ดิฉันกับแฟนเลิกกัน สารพัด เราอยู่บ้านเดียวกันแต่ดิฉันไม่พูดกับเขามาเป็นปี ดิฉันทำเหมือนแม่สามีไม่มีตัวตน และยังชวนเพื่อน ๆ มาคอยพูดให้ดิฉันนับถือคริสต์ ดิฉันเริ่มเกลียดศาสนาคริสต์

    ขอบอกเลยว่า เริ่มเกลียดศาสนาคริสต์และคนนับถือคริสต์ เพราะเท่าที่ดิฉันเห็นมาเป็นอะไรที่แย่มาก ๆ ไม่มีอะไรน่าชื่นชม ดิฉันหมดความหวังทุกอย่าง เพราะพึ่งไม่ได้แม้แต่แฟนตัวเอง แฟนบอกดิฉันว่าต้องเข้าข้างแม่เขาทั้ง ๆ ที่รู้ว่าแม่ผิด ดิฉันเคว้งเพราะตัวคนเดียวที่สิงคโปร์ ไม่มีเพื่อน พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็อยู่ไกล โทรศัพท์ก็ไม่ได้ แม่สามีไม่ให้โทร จนวัน Good Friday ปี 1995 น้องเขยและน้องสะใภ้ เชิญไปงานเลี้ยงของกลุ่มเซลล์โบสถ์เขา (น้องเขยกับแม่เขาเข้าคนละโบสถ์กัน แม่สามีโบสถ์แขก น้องเขยโบสถ์อินเตอร์) ในงานรู้สึกอบอุ่นมากเพราะทุกคนไม่ถือตัว เป็นคนจีนหมด มีสามีกับน้องชายเป็นแขก (แฟนน้องเขยเป็นคนจีน) ช่วงรายการจะมีการเปิดวีดีโอ เกี่ยวกับวันตายของพระเยซู ให้ดู และตอนท้ายรายการ เขาจะจับแยก และแบ่งปันพระธรรมยอห์น (John 3:16 ) ดิฉันยังไม่มีความรู้สึกอะไร แต่ตอนที่เขาถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้ามีเขาจะอธิษฐานให้ มีอะไรอยากจะเล่าให้ฟังหรือเปล่า และบอกว่ายังมีคนห่วงใยดิฉันอยู่นะ ความที่มีปัญหามากมาย ไม่รู้จะไปพูดไประบายกับใคร พอมีคนมาเสนอตัวจะรับฟังดิฉันก็เล่าให้เขาฟังว่ามีปัญหากับแม่สามี เขาอธิษฐานเผื่อดิฉัน จนมีความรู้สึกใหม่ ๆ เกิดขึ้น คิดกับตัวเองว่ายังมีคนห่วงใยเราอีกเหรอ นึกว่าไม่มีแล้วแล้วเริ่มมีกำลังใจ แล้ววันอาทิตย์น้องเขยกับน้องสะใภ้ได้ชวนไปโบสถ์(ตอนนั้นภาษาอังกฤษก็ยังไม่ค่อย รู้เรื่องเท่าไหร่) ตอนที่อาจารย์เทศนาไม่รู้เรื่องเลย แต่ช่วงสุดท้าย อาจารย์พูดอีกว่า แขกรับเชิญคนไหนอยากจะต้อนรับพระเยซูคริสต์ ดิฉันสองจิตสองใจ ใจหนึ่งนึกถึงแม่ เคยบอกว่าไม่ได้ อีกใจหนึ่งว่าได้แล้วเขาบอกให้คนที่อยากจะต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยกมือขึ้น ใจดิฉันบอกว่าไม่ แต่ไม่รู้ว่ามือยกขึ้นไปได้ไง (ตอนนี้รู้แล้วว่ายกไปได้ไง is God timing and God power)

    จากที่เกลียดคริสต์ แต่มาเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่พอจะยึดได้ ดิฉันไปกลุ่มเซลล์ทุกอาทิตย์ ลืมบอกไปว่าพ่อแม่ของดิฉันเคยเป็นคนทรงทั้งคู่ และดิฉันเคยไปเป็นเพื่อนแม่เลี้ยงดิฉันไปหาคนทรง แต่ดิฉันไม่เคยเชื่อถือ และคนทรงทายว่าดิฉันจะได้แต่งงานตอน อายุ 18 ตอนไปหาคนทรงอายุ 16 และทักว่าคู่อยู่ไกล ตัวเล็กผิวคล้ำ และจะมีอันตราย ก่อนอายุครบ 23 ปี ต้องมาต่ออายุไม่งั้นอาจถึงตาย หลังจากพบคนทรงก็ไม่คิดอะไร และไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นไปได้จน ได้แต่งงานตอนอายุ 18 ปี แม่เลี้ยงถึงทักว่า เหมือนกับที่คนทรงทายไว้ไม่ผิดเลย ทีนี้ก็เริ่มจะเชื่อแล้ว เพราะที่เขาทักมาทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว จนมาอยู่สิงคโปร์ ก่อนวันเกิด 27 มกราคม ได้คุยกับแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงบอกให้กลับมากรุงเทพฯ มาต่ออายุ แต่ตอนนั้นเริ่มไปโบสถ์และรับเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว แต่ก็กลัวเหมือนกัน ก็เลยอธิษฐานขอให้พระเจ้าดูแล คือจะยกทุกอย่างไว้ในมือพระเจ้า เลยไม่กลับกรุงเทพฯ

    ในวันที่ 16 มกราคม 1996 ได้ Baptize เลยวันเกิดมาก็ไม่มีอะไรร้ายแรงที่เคยกลัวเกิดขึ้น วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ยังได้กำเนิดลูกสาว ก็เลยได้รู้ว่าในเมื่อเชื่อในพระเจ้า ไม่มีอะไรต้องกลัว ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยว้าเหว่อีกเลย จะมีพระเจ้าเป็นที่พึ่ง จนถึงวันนี้ก็ยังมีพระเจ้าอยู่เป็นเพื่อน และเป็นทุก ๆ อย่าง



    แหล่งที่มา ไทยคริสเตียนดอทเนต


    Sunday

    ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง โดย เชเลีย โฮลคอมป์





    ก่อนที่ฉันจะเล่าคำพยานนี้
    ฉันรู้สึกว่าจำเป็นมากที่คุณจะต้องรู้ข้อมูลในวัยเด็กของฉันก่อน
    เพื่อคุณจะสามารถเข้าใจการตัดสินใจของฉันได้ดีขึ้น
    แม้มันจะเป็นสิ่งโง่เขลาอย่างไรก็ตาม
    แต่ทุก ๆ การตัดสินใจของฉัน ในช่วงที่ชีวิตดีหรือเลว
    ก็ได้นำฉันมา ณ.จุดที่ฉันเป็นอยู่เวลานี้
    และฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างสูง
    สำหรับภูเขาและหุบเขาทั้งหลายเหล่านั้นในชีวิตฉัน
    เมื่อฉันเกิด แม่อายุได้ 15 ปีเท่านั้น
    และบัดนี้หลาย ๆ ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ฉันเดินเข้าสู่
    กระบวนการแห่งการให้อภัยเธอ
    และกำลังทำงานผ่านหลาย ๆสิ่ง
    ฉันสามารถมองเห็นชีวิตของเธอผ่านดวงตาของเธอ
    เพื่อพยายามทำความเข้าใจให้มากขึ้น
    ว่าเธอรู้สึกอย่างไร มีบางคนให้คำแนะนำฉัน
    เมื่อฉันกำลังปล้ำสู้อย่างจริงจังกับสิ่งเหล่านี้
    ฉันถูกสอนว่าบางทีฉันอาจให้อภัยแม่ง่ายขึ้น
    หากย้อนมองดูชีวิตของเธอผ่านดวงตาของเธอเอง
    ไม่ใช่ดวงตาของวัยเด็กที่เจ็บช้ำของฉัน
    คุณรู้ไหม มันได้ผลทีเดียว ตอนนี้ฉันเข้าใจเธอชัดเจนดีแล้ว
    แม่ยังเด็กเกินไปที่จะดูแลตัวเองไม่น้อย
    ไปกว่าการดูแลลูกน้อยของเธอ
    เธอจึงพาฉันไปที่นั่นที่นี่เพื่อจะฝากฉันไว้ชั่วคราว
    ซึ่งส่วนใหญ่คนที่รับฝากไว้ก็คือยายของฉัน
    หลาย ๆครั้งตลอดชีวิตฉัน พอแม่ตัดสินใจจะกลับมารับฉัน
    เธอก็มาและทำลายฉันอีก
    ฉันไม่เคยรู้จักเสถียรภาพในชีวิตจริง ๆ เลย
    และฉันจะรู้สึกเสมอว่า ไม่มีใครรักและต้องการฉันจริงๆเลย
    เมื่อฉันอายุ 9 ขวบ แม่ก็มาและพรากฉันไปจากยาย
    ซึ่ง ณ.เวลานั้น ยายเป็นแม่คนเดียวที่ฉัน
    รู้จักจริง ๆ และฉันก็ต่อสู้กับแม่มาก ในที่สุดแม่ก็พาฉันไปอีลีนอยส์จนได้
    เวลานั้นเอง แม่ได้แต่งงานใหม่และลูกใหม่อีก 2 คนกับสามีใหม่
    สามีใหม่ของแม่เกลียดฉัน เหตุผลง่าย ๆ ที่ฉันเห็นได้ก็คือ
    เพราะฉันไม่ใช่ลูกเขา นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน
    แต่กระนั้นฉันก็ยังตำหนิตัวเองมาเป็นเวลาหลายปี
    พ่อเลี้ยงตั้งต้นข่มขืนฉันตั้งแต่ฉัน 9 ขวบไปจนถึงอายุ 13 ปี
    ในที่สุดฉันก็บอกแม่แต่เธอไม่เชื่อฉัน จริง ๆ แล้วไม่มีใครเชื่อฉันเลย
    ในที่สุดฉันก็ต้องยุติและฝังความโกรธเกลียดทั้งหมดไว้เป็นเวลาหลายปี
    ซึ่งบัดนี้ได้ถูกจัดการและได้รับการอภัยจนหมดสิ้นแล้ว
    และบัดนี้ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดอยู่ภายใต้พระโลหิตประเสริฐของพระเยซู
    สรรเสริญพระเจ้า
    ฉันบอกแม่ว่า ฉันต้องการกลับไปอยู่ที่เมมฟิสกับยาย
    แม่ก็อนุญาตเพราะเธอรู้สึกว่า ฉันก่อปัญหาให้เธอมากมาย
    และเธอไม่อยากถูกรบกวนอีก
    เวลานี้ ยายแต่งงานใหม่แล้ว และฉันก็แค้นสามีใหม่ของยาย
    ที่พรากยายไปจากฉัน คุณต้องจำไว้ว่าฉันยังเป็นเด็ก
    และรู้สึกว่ายายเป็นทุกอย่างที่ฉันมี และตอนนั้นฉันสูญเสียเธอไปแล้ว
    ฉันเกลียดสามีใหม่ของยายมากและสร้างปัญหาให้เขามากมาย
    แต่เขาเป็นคนดีและรักฉันมาก ฉันไม่อาจ
    ยอมรับข้อเสนอของเขาได้ หลังจากปล้ำสู้กันมายาวนาน
    ยายก็ไปร้องศาลว่าฉันเป็นเด็กเหลือขอ ควบคุมไม่
    อยู่ ปกครองไม่ได้ และพวกเขาไม่อาจจะเลี้ยงดูฉันได้อีกต่อไป
    ดังนั้นฉันจึงถูกย้ายไปสถานสงเคราะห์
    บ้านที่ฉันย้ายไปอยู่ใหม่นี้วิเศษทีเดียว แต่ในเวลานั้น
    ฉันเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก สิ่งที่ฉันเห็นอย่างเดียวก็คือ
    คนที่จะรักฉันและนำยายกลับมาหาฉันอย่างเดิม
    ฉันต้องการแต่ยายเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงหนึไป
    ศาลจึงสั่งให้ฉันต้องอยู่ภายใต้ การคุ้มครองของรัฐเทนเนสซี่
    ฉันจึงถูกส่งไปเข้า รร.ดัดสันดานสตรีแคทอลิคเป็นเวลา 3ปีครึ่ง
    และเมื่อฉันมองย้อนกลับมา ฉันสามารถกล่าวได้อย่างจริงใจว่า
    มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่งที่เกิดกับฉัน
    แต่ในเวลานั้นสิ่งที่ฉันเห็นได้ก็คือ
    ฉันตัวคนเดียวจริง ๆ ไม่มีใครรัก
    ไม่มีใครต้องการในโลกที่กว้างใหญ่นี้
    เวลานี้ฉันจะต้องเดินหน้าต่อไป
    ในปี 1987 ฉันได้เสียลูก 3 คนให้กับพ่อของพวกเขา
    และฉันก็หมดสิ้นทุกอย่าง ฉันหันไปดื่มอย่างหนัก
    และสุดท้ายก็กลายเป็นนักย่องเบาและคนติดยา
    เวลานี้ฉันได้ทิ้งทุกอย่างรวมทั้งความเคารพตัวเอง
    ฉันกลายเป็นโสเภณีเพื่อหาเงินมาซื้อยาเสพติด
    ฉันถูกจับกุมหลายครั้ง แต่ฉันก็ไม่เคยถูกลงโทษและติดคุกเลยสักครั้ง
    ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงดูแลฉันแม้ในขณะเมื่อฉันยังอยู่ในความบาป
    พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วว่า วันหนึ่งฉันจะกลับมา
    เป็นของพระองค์ ฉันมอบถวายแด่พระเจ้าด้วยคำสรรเสริญ
    เกียรติยศ และสง่าราศีทั้งสิ้นสำหรับสิ่ง
    เหล่านั้นที่ทำให้ฉันได้เป็นฉัน ณ.วันนี้ และสำหรับทุกสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคต
    ยาเสพติดและการเตร็ดเตร่ของฉัน นำฉันไปในที่ต่าง ๆ มากมาย
    20 ธ.ค. 1990 ฉันได้มาพบกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเล่าเรื่องพระเยซูให้ฉันฟัง
    และบอกว่าพระองค์สามารถสร้างชีวิตฉันขึ้นมาใหม่
    และนำไปเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ๆ ได้ ฉันไม่ได้กินอะไรมา 2วันแล้ว
    เขาถามฉันว่าหิวไหม และพาฉันไปที่ร้านอาหาร ซื้อของให้กิน
    แล้วเขาก็ใช้เวลาทั้งหมดเล่าเรื่อง พระเยซูให้ฉันฟัง
    เขาบอกว่า พระเยซูสามารถช่วยให้ฉันเป็นอิสระได้ หากฉันต้องการ
    และเล่าว่า พระเยซูจะให้ชีวิตใหม่ที่ปราศจากความเจ็บปวดและยุ่งเหยิง
    สับสนอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้ ได้อย่างไร
    แน่ล่ะ การมาเป็นคริสเตียนไม่อาจ ขจัดความเจ็บปวด,
    ร่องรอยแห่งบาดแผลต่าง ๆและความยาก
    ลำบากทั้งหลายออกไปจากชีวิต
    แต่ด้วยพระคริสต์ซึ่งสถิตในใจเราทั้งหลาย
    พระองค์จะประทานกำลังให้เรามี
    ชัยชนะและยืนหยัดมั่นคงในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด
    ฉันเริ่มแบ่งปันชีวิตกับชายคนนี้ เขายังคงบอกเรื่อง
    พระเยซูคือคำตอบ และเด็กอย่างเขาก็พูดถูก
    จากจุดนั้นเองฉันได้ถวายจิตใจของฉันแด่พระเจ้า และตัดสิน
    ใจที่จะอยู่เพื่อพระองค์และรับใช้พระองค์ ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน
    ฉันเคยร้องเพลงมาหลายปีแต่ได้ทำลายเสียงของตัวเองด้วยการใช้ยาเสพติด
    ฉันได้ทำลายของขวัญที่พระเจ้าให้กับฉัน
    ดังนั้นฉันจึงได้อธิษฐานร้องทูลต่อพระเจ้าว่า
    หากพระองค์ ทรงโปรดรักษาและฟื้นฟูเสียง
    ของฉัน ฉันจะใช้ของประทานนี้เพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า
    ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน
    ฉันมีประสบการณ์อัศจรรย์มากมายในชีวิตคริสเตียนของฉัน
    ขณะที่ฉันกำลังดำเนินไปในชีวิตอัศจรรย์ของฉัน
    หนึ่งในการอัศจรรย์นั้น ยังคงอยู่ต่อหน้าต่อตาฉัน
    และฉันอยากจะแบ่งปันเรื่องนี้กับคุณด้วย
    ประมาณ 4 หรือ 5 ปีมาแล้ว
    ฉันไปตรวจพบว่าเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ที่รักษาไม่หาย
    หมอก็ไม่ยืนยันแน่นอน แต่พวกเขาก็สรุปว่า
    มีแผลเปื่อยอยู่ที่ลำไส้ของฉันเป็นจำนวนมาก
    เขาบอกว่าจะต้องผ่าตัดเอาลำไส้บางส่วนออกไป
    คำตอบของฉันก็คือ ฉันจะขออธิษฐานสำหรับเรื่องนี้และ
    ฉันเชื่อว่า พระเจ้าจะรักษาฉันโดยไม่ต้องผ่าตัด
    พวกหมอก็เดินหน้าต่อ นัดหมายฉันมาส่องกล้องตรวจ
    ในสัปดาห์ถัดมา สองสามวันหลังจากคริสต์มาส
    ดังนั้นในช่วงคริสต์มาสอีฟ ฉันได้วางแผนโทรศัพท์ทางไกล
    ไปหาเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าของฉันและขอให้เขาอธิษฐานเผื่อฉัน
    เขาบอกว่าไม่มีปัญหา เดี๋ยวจะโทรกลับมาหาฉันอีก
    ระหว่างที่รอเขาโทรกลับมา ฉันเอาพระคัมภีร์มาประมาณ 10 เล่ม
    กางออกวางไว้บนพื้นเป็นรูปวงกลมและเล่มหนึ่งก็เปิดอยู่
    ที่กลางวงกลมพอดี และเมื่อเขาโทรกลับมา
    ฉันก็คุกเข่าลงที่พระคัมภีร์ที่อยู่กลางวงกลมนั้นและอธิษฐาน
    เมื่อเพื่อนอธิษฐานเผื่อฉันไฟแห่งพระเจ้าได้ฟาดมาที่ตัวฉัน
    และผ่านตลอดร่างกายของฉัน มีสันติสุขปกคลุมอยู่ที่ตัวฉัน
    ฉันเข้านอนและหลับสนิท(แบบเดียวกับอดัม
    เวลาที่พระเจ้าทรงชักกระดูกของเขามาสร้างเป็นผู้หญิง)
    พระองค์ทรงกระทำอย่างเดียวกันนั้นกับฉันด้วย
    ทรงผ่าตัดรักษาร่างกายของฉัน
    ฉันหลับไปถึง 17 ชม. และเมื่อฉันตื่น
    เลือดได้หยุดไหลไปแล้วและความเจ็บปวดด้วย
    ฉันรู้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉันได้รับการรักษาแล้ว
    โดยพระหัตถ์ประเสริฐขององค์จอมเจ้านาย
    ฉันจ่ายเงิน 400ดอลล่าร์ทุกเดือนเป็นค่ายา
    ฉันเข้าไปในครัว ขว้างยาทั้งหมดลงถังขยะ
    ฉันได้กลับไปส่องกล้องตรวจตามนัด และพวกหมอก็ต้องประหลาดใจ
    ไม่มีแผลเปื่อยสักแห่งเดียวเลย
    ฉันได้แต่สรรเสริญพระเจ้าสำหรับฤทธิ์อำนาจการรักษาของพระองค์
    ฉันได้ถวายตัวเป็นผู้ประกาศ
    และได้แต่งงานกับชายที่ดีมากที่เป็นผู้ประกาศเหมือนกัน
    เรารู้ว่าพระเจ้าทรงนำเรามาร่วมกัน เพื่อพันธกิจของพระองค์
    และเราชื่นชมยินดีกับการรับใช้พระเจ้าร่วมกัน

    เดี๋ยวนี้ ฉันเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงของทีมประกาศข่าวประเสริฐ ทางตอนใต้ของอเมริกา
    พระเจ้าทางอวยพรฉันและฉันจะดำเนินต่อไปบนเส้นทางของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงวางฉันไว้
    เพราะความปรารถนาเดียวของฉันก็คือ รับใช้พระองค์ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม ฉันจะถูกเชิญ
    ให้เล่าคำพยานแล้วร้องเพลง บางทีก็ทั้งสองอย่าง พระเจ้านั้นอัศจรรย์ยิ่งและเพื่อถวายเกียรติแด่
    พระองค์ ฉันจึงเขียนคำพยานนี้ขึ้น หากจิตวิญญาณใดก็ตามที่มาถึงจุดนี้ ก็จะเห็นคุณค่าของชีวิต
    ในทุกสิ่งอย่าง
    ฉันไม่มีถ้อยคำเพียงที่จะกล่าวได้ครบถ้วนถึงพระคุณของพระเจ้า ซึ่งนำฉันมาถึง ณ.จุดนี้
    และที่ทรงกระทำให้ชีวิตฉันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะถ้าปราศจากพระคริสต์เราก็ไม่มีอะไรเลย
    แต่โดยทางพระองค์เราจึงได้ร่วมเป็นทายาทของพระเจ้าด้วยกันกับพระองค์ ทรงเป็นทั้งผู้ปกป้อง
    ผู้ไถ่บาป,ผู้ช่วยเหลือและแพทย์ผู้ประเสริฐของเรา และปัญหาใด ๆ ที่เรามีนั้นไม่อาจใหญ่ยิ่งไป
    กว่าความช่วยเหลือของพระองค์ที่ทรงให้เราได้ เราจะต้องนำปัญหาเหล่านั้นเข้ามาหาพระองค์
    วางมันไว้แทบพระบาทของพระองค์และเข้าอยู่ในการดูแลของพระองค์
    ฉันขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ที่ยังดำรงอยู่ ในการรักษาโรค
    ในการไถ่โทษความผิดบาปและในการปกป้องคุ้มครอง พระเจ้าทรงดีเลิศทุกเวลา ฉันได้ทำ
    ผิดไปมากมาย
    แต่พระคุณของพระองค์ ก็มีให้เพียงพอเสมอ พระเจ้าทรงรักเราและหากเรากลับใจใหม่อย่างแท้
    จริงและ
    สารภาพความผิดบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกโทษความ
    ผิดบาป
    ของเราและชำระเราให้พ้นจาการอธรรมทั้งสิ้น
    หากเราสามารถช่วยใครได้ โปรดติดต่อกับเราตามข้อมูลข้างล่างนี้ เราจะทำเต็มที่สุดกำลัง
    ที่เราทำได้ หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับคนที่คุณรักซึ่งอาจติดยา หรือปัญหาเกี่ยวกับคนที่ติด
    ยาเสพติดอื่น ๆ เราจะพยายามตอบคำถามคุณ หากเราไม่รู้ เราก็จะพยายามอย่างเต็มที่
    จะหาคำตอบมาให้คุณให้จงได้ โปรดจำไว้ว่า เราเป็นมนุษย์และเราจะทำผิดพลาดได้เสมอ จึง
    ต้อง
    สารภาพบาปต่อพระเจ้าและนำบาปนั้นมาอยู่ใต้พระโลหิตของพระเยซู โดยเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้
    พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายและพระองค์จะทรงช่วยเราในทุก ๆ สถานการณ์ชีวิตของเรา


    เจอรี่และเชเลีย โฮลคอมบ์
    e-mail ถึงเราที่ rainbow@imws.net

    Friday

    การแสวงหาอันแท้จริงในชีวิต




    คำตอบสำหรับชีวิตอยู่ที่ไหน
    เป้าหมายแท้จริงของคนเราคืออะไร?
    เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
    เรามาจากไหน?
    เรากำลังไปสู่ที่ใด?
    ใครคือผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา?
    คุณค่าของชีวิตคืออะไร?
    โลกนี้เป็นมาอย่างไร?
    โลกกำลังไปสู่จุดหมายอะไรและอย่างไร?

    ..........
    ..........
    เหล่านี้เป็นคำถามที่ล้วนแต่ต้องการคำตอบ
    และคำตอบเหล่านั้น ควรเป็นคำตอบที่ถูกต้องด้วย
    เป็นคำตอบที่แท้จริงของชีวิต ไม่ใช่คำโกหก
    เพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่สมมุติฐาน
    ไม่ใช่ปรัชญา ชีวิตไม่ใช่การทึกทัก ไม่ใช่นิยาย
    เพราะชีวิตและจิตวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญ
    ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ที่เป็นสมบัติของคนเรา....

    และคำตอบกำลังจะเปิดเผยออกมาแล้วจากคนเหล่านี้
    ที่ชีวิตถูกเปลี่ยนใหม่ โดยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่
    เกินที่จะหาคำพรรณา หรือสรรคำใดมาบรรยายได้

    This page is powered by Blogger. Isn't yours?